การบ้านความกตัญญู

5/5 - (1 vote)

โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งเมืองหนานจิง ประเทศจีน ให้การบ้านสุดสัปดาห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งมาชึ้นหนึ่ง ชื่อว่า ”ความกตัญญู” เป็นการให้บันทึกกิจกรรมประจำวันของคุณแม่ในหนึ่งวัน และช่วยคุณแม่ทำงานอะไรก็ได้หนึ่งอย่าง โดยที่คุณแม่เองจะต้องเซ็นต์ชื่อหรือเขียนความรู้สึกตัวเองไว้ในท้ายสุดของการบ้านด้วย ซึ่งจากการตรวจการบ้านของนักเรียนทั้งหลายพบว่าเด็กๆ เรียนรู้ที่จะตอบแทนบุญคุณของมารดา แต่ในขณะเดียวกันบรรดาคุณแม่ส่วนใหญ่กลับเห็นพ้องต้องกันว่าการสอบได้ที่หนึ่งต่างหาก ที่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่อยากจะได้รับจากลูกๆ ของพวกเธอ

เด็กๆ ต่างรับรู้ถึงความยากลำบากของคุณแม่

ปกติหลังจากตื่นนอน พ่อแม่ก็เก็บที่นอนให้ตลอด วันนี้พอลองทำเอง กว่าจะเก็บที่นอน ปูผ้าคลุมเรียบร้อยก็ถึงกับปวดหลังปวดไหล่ เหงื่อโทรมกายเลยทีเดียว งานบ้านนี่ช่างเหนื่อยจริงๆ ไม่รู้ว่าคุณแม่เอาแรงมาจากไหนถึงทำได้ทุกวัน ต่อจากนี้ฉันควรจะต้องช่วยแบ่งเบาภาระคุณแม่บ้าง” เสี่ยวทัง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งเขียนความรู้สึกของตนเองไว้ในสมุดการบ้าน หลังจากที่ได้บันทึกงานบ้านของคุณแม่ และได้ช่วยคุณแม่เก็บที่นอนไปหนึ่งวัน

คุณแม่ตื่นนอนตอนตี 5 สี่สิบนาที เพื่อทำอาหารเช้า หลังจากนั้นนั่งรถเป็นเวลา 1 ชั่วโมงกับ 30 นาทีเพื่อไปทำงาน ” เด็กนักเรียนแซ่เฉิน บรรยายกิจกรรมของคุณแม่ในหนึ่งวัน และยังบรรยายว่าหลังจากผ่านการสังเกตถึงทราบว่าในวันหนึ่งๆ คุณแม่ต้องทำงานหนักและเหนื่อยมากทีเดียว

การบ้านที่เด็กๆ ชั้นม..1 ทำมาตามที่ได้รับมอบหมายนั้น บ้างก็เป็นการสังเกตพฤติกรรมคุณแม่ในหนึ่งวัน บ้างก็เป็นการทำงานบ้านแทนคุณแม่ในหนึ่งวัน ซึ่งจากสมุดบันทึกการบ้านของเด็กเหล่านี้บ่งบอกว่าเด็กๆ ทุกคนสามารถสำนึกได้ว่าการที่คุณแม่ต้องทำงานไปด้วยและดูแลพวกเขาไปด้วยนั้นเป็นเรื่องที่น่าเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ซึ่งเด็กๆ หลายคนนั้น ก่อนหน้าที่จะทำการบ้านชิ้นนี้ ไม่ได้คำนึงถึงความลำบากของคนเป็นแม่สักเท่าใด

ลูกสอบได้ที่หนึ่ง คือของขวัญชิ้นเอกที่คุณแม่ใฝ่ฝัน

จากข้อกำหนดของทางโรงเรียนดังกล่าว คุณแม่ของเด็กๆ นักเรียนจะต้องเซ็นต์ชื่อรับทราบและแสดงความเห็นเกี่ยวกับการทำการบ้านชิ้นนี้ด้วย และจากข้อความที่บรรดาคุณแม่ทั้งหลายเขียนไว้ บ่งบอกว่าคุณแม่ทั้งหลายต่างก็ปลาบปลื้มกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ลูกๆ ทำให้อย่างยิ่ง เรียกได้ว่าลูกยังไม่ทันจะขอบคุณคุณแม่ บรรดาคุณแม่กลับรีบกุลีกุจอขอบคุณคุณลูกที่ช่วยงานไปเสียก่อน และการที่บรรดาลูกๆ สำนึกในพระคุณแม่นั้น ช่างสูงส่งมากในความรู้สึกของคุณแม่ โดยคุณแม่คนหนึ่งเขียนความรู้สึกของตนเองไว้ว่า ”ทุกสิ่งที่คุณแม่อย่างเธอทำนั้นเป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นหน้าที่ของคนเป็นแม่ ดังนั้นการที่ลูกสาวของฉันสำนึกในบุญคุณและช่วยแบ่งเบาภาระนั้นถือว่าต้องขอบคุณลูกสาวอย่างยิ่ง” ส่วนแม่อีกรายกล่าวว่า ”ขอแค่ทุกคนร่างกายแข็งแรง คนในครอบครัวปรองดองกัน ไอ้งานเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็ไม่ถือว่าหนักหนาสำหรับคนเป็นแม่”

หลังจากพลิกดูความรู้สึกของบรรดาคุณแม่ที่เขียนไว้หลังสมุดการบ้านของลูกๆ พบว่ามีแม่น้อยคนที่จะถือโอกาสนี้ใช้หลักเหตุผลสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี ส่วนใหญ่จะเพียงแต่คาดหวังให้ลูกของตนขยันเรียน ดังเช่นเด็กชายคนหนึ่งทำการบ้านชิ้นนี้โดยการไปตลาดในเช้าวันอาทิตย์เพื่อซื้อผลไม้ เนื่องจากเขาเห็นว่าการซื้อผลไม้เป็นสิ่งที่แม่ของเขาทำเป็นกิจวัตร ดังนั้นเขาจึงอยากจะให้แม่ได้ชิมผลไม้ที่เขาเป็นผู้ซื้อมาบ้าง ซึ่งคุณแม่ของเด็กชายคนนี้ได้เขียนความรู้สึกไว้หลังภายหลังการบ้านชิ้นนี้ว่า “ของขวัญที่แม่อยากได้มากที่สุด คืออยากให้ลูกตั้งใจเรียน และสอบได้ที่หนึ่งของระดับชั้น” ซึ่งคำขอเช่นเดียวกันนี้ได้ปรากฏอยู่บนสมุดการบ้านของนักเรียนอีกไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากคุณแม่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการที่ลูกๆ มีกะใจช่วยงานบ้านนั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับการขยันเรียนและผลการสอบที่ดีเยี่ยม

พฤติกรรมตัวฉัน ของฉัน

การที่เด็กกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงผู้อื่นนั้นเกี่ยวข้องกับทัศนะคติในการเลี้ยงดูของผู้ปกครองอย่างยิ่ง” ถึงคุณแม่จะเสียสละเพื่อหนูมามาก แต่ต่อไปในอนาคตหนูก็ต้องเลี้ยงคุณแม่อยู่ดี ดังนั้นเราหายกัน” คือคำพูดที่คุณแม่นักวิชาการรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่าลูกสาววัย 18 ปีของเธอพูดกับเธอ และให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ในความคิดของเธอนั้นเมื่อเทียบกับเพื่อนในห้องแล้วลูกสาวของเธอก็ไม่ได้ถือว่ามีนิสัยเลวร้าย หรือแย่ไปกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นสำหรับความคิดนี้ของลูกเธอจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก พร้อมทั้งให้ความเห็นว่าเด็กในปัจจุบันนี้เรียนหนังสือก็เยอะ ถือว่ามีความรู้ไม่น้อย แต่สำนึกในความเป็นคนดีไม่ได้เติบโตตามไปด้วย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตนั้นอาจจะสำคัญกว่าการเรียนหนังสือจนจบหลายเล่มด้วยซ้ำไป

หวงไหน่หยัง รองผู้อำนวยการของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนานจิง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สั่งการบ้านชิ้นนี้ กล่าวว่า หลังจากการประชุมผู้ปกครองที่ผ่านมา ผู้ปกครองหลายรายบ่นว่า ลูกๆ ออกไปโรงเรียนหรือกลับเข้าบ้านมักจะไม่ทักทายหรือทำความเคารพผู้ปกครอง แสดงถึงความไม่ใส่ใจ แต่กลับให้ความสนใจในตัวเองค่อนข้างมาก มักคิดแต่เพียงว่า ตัวฉัน ของฉัน ฉันจะเป็นอย่างไร? และเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ทำให้นั้นเป็นหน้าที่ที่สมควร ไม่ได้สำนึกในบุญคุณของพ่อแม่ ทั้งยังส่งผลให้ผู้ปกครองหลายรายประสบปัญหาในการสื่อสารกับเด็กๆ

ซึ่งอาจารย์ได้ลงความเห็นว่าพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของเด็กนักเรียนนั้น สาเหตุหลักมาจากการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง เช่น หัวข้อหลักๆ ที่ผู้ปกครองสื่อสารกับเด็ก มีเพียงเรื่องเรียนเท่านั้น แต่น้อยมากที่จะพูดคุยเรื่องทั่วไป เรื่องสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งความรู้สึกนึกคิดของเด็กเอง รวมทั้งการให้ข้อแนะนำกับเด็กในการประพฤติตัวในสังคม พอเด็กเริ่มเรียนรู้ที่จะช่วยงานบ้าน ผู้ปกครองก็มักจะคิดว่าเด็กทำไม่เรียบร้อย ตนทำเองดีกว่า สุดท้ายเด็กก็ไม่สามารถช่วยงานได้

และเนื่องจากความคิด ความเห็นทั้งจากผู้ปกครองและบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งเมืองหนานจิงจึงได้ตั้งโจทย์การบ้านน่ารักๆ นี้ขึ้นมาซึ่งผลตอบรับที่ได้ในการบ้านนั้น อาจารย์เล่าว่ามีทั้งเด็กที่ล้างเท้าให้แม่ เด็กที่พาแม่ไปหาหมอ เด็กที่ช่วยแม่ซื้อของเข้าครัวตลอดจนทำกับข้าว ต่างๆนานา หลากหลายรูปแบบ โดยรองผู้อำนวยการหวงกล่าวว่า ในขั้นต้น กิจกรรมนี้มีผลตอบรับที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะปลูกฝังจิตสำนึกและความกตัญญูให้กับเด็กนั้น เพียงกิจกรรมแค่ครั้งสองครั้งนี้นับว่าน้อยเกินไป แต่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ผู้ปกครองต่างหากจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

 

Text : ดวงพร วงศ์ชูเครือ

Story from China >>> Mother & Care ก.พ.2550

 

 

ฐิติพันธุ์ชมสว่างเป็นผู้ฝึกสอน CrossFit อายุ 40 ปีจากประเทศจีนฮ่องกง เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 15 ปีก่อน เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ที่ศูนย์ออกกำลังกายเพื่อช่วยให้ผู้อื่นมีสุขภาพดีและมีรูปร่าง เธอแต่งงานแล้วและมีลูกชายคนแรกและใช้เวลาว่างของเธอในการฝึกซ้อมมาราธอน
ฐิติพรรณ จอมสว่าง